อนุทิน ยัน ไม่มีปัญหาอะไรกับ ทวีศิลป์

อนุทิน ยัน ไม่มีปัญหาอะไรกับ ทวีศิลป์

อนุทิน ได้ออกมาตอบข้อสงสัยประชาชน หลังมีหลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่า อาจมีความขัดแย้งกับ นายแพทย์ ทวีศิลป์ ปมหมอชนะเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ออกมาตอบคำถามเกี่ยวข้องกับ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) หลังจากที่มีทั้งสองฝ่ายได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับแอปฯ หมอชนะ ขัดแย้งกัน จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก และทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่า มีปัญหาขัดแย้งใน ศบค.

โดย นาย อนุทิน กล่าวว่า ไม่มีปัญหาและ นพ.ทวีศิลป์ ก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตนโดยตรง 

เวลาเขาทำหน้าที่ เขาก็แถลงตามตัวอักษรของกฎหมาย แต่เมื่อมีกระแสออกมาอีกทางหนึ่งก็ต้องรีบบอกกันว่า ไม่ควรใช้กฎเกณฑ์แบบนั้น เราต้องเอาความสบายใจของประชาชนเป็นตัวตั้ง ไม่ได้มีปัญหาใดๆ เมื่อวันที่ 11 มกราคม ก็ยังนั่งพูดคุยกัน ต่างคนต่างให้กำลังใจกัน ขณะที่ความคืบหน้าของวัคซีนนั้น รัฐบาลมีมาตรการที่จะนำวัคซีนมาบริการกับประชาชนโดยทั่วไปอยู่แล้ว ถ้าท้องถิ่นมีงบประมาณและต้องการดูแลประชาชน

สิ่งที่ใช้ก็ต้องเป็นวัคซีนที่ขึ้นทะเบียน โดยผ่านการอนุมัติจาก สธ. ถือว่าเป็นเรื่องดีหากท้องถิ่นมีความจำนง ที่ช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาล โดยงบประมาณรัฐบาล ต้องนำรายชื่อมาตรวจคัดกรองกัน เพราะฉีดซ้ำไม่ได้อยู่แล้วเป็นการช่วยกันคนละไม้ละมือ อย่างไรก็ตามเป็นการพูดถึงหลักการทั่วไปก่อนยังไม่ได้ลงรายละเอียด ถือว่าเป็นเรื่องร่วมกันทำงาน เพราะถึงอย่างไรก็เป็นการใช้งบประมาณแผ่นดิน อยู่ที่ว่าจะเอามาจากกระเป๋าใบไหนเท่านั้น

ทั้งนี้ สธ.พิจารณาแล้วเห็นว่า วัคซีนต่างประเทศทุกยี่ห้อไม่มีปัญหา และสามารถมาขอขึ้นทะเบียนจากทาง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สธ.ของไทยได้ และโดยหลักการเราเปิดกว้างเพียงขอให้ปลอดภัย หากบริษัทจะมาขึ้นทะเบียนกับ อย.ไว้ก่อน เพื่อให้โรงพยาบาลเอกชนสามารถนำมาฉีดให้กับคนที่มีฐานะหรือฉีดได้ 

ผู้ใช้เน็ตแห่แชร์ เอกสาร ที่อ้างว่ามาจาก กอ.รมน ที่เผยว่าทางการใช้เงินไปกว่า 45 ล้านบาทในการติดโซลาร์เซลล์ ปชช. แห่เทียบกรณีพิมรี่พาย ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจำนวนมากได้ทำการเผยแพร่เอกสารอ้างว่าเป็นของ กอ.รมน. ในปี 2562 ซึ่งระบุว่าเป็นสรุปราคากลางงานก่อสร้างอาคาร โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 (กอ.รมน.ภาค 3)

โดยในเอกสารดังกล่าวได้มีการเปิดเผยการเบิกงบค่าก่อสร้างแผงโซลาร์เซลล์ ขนาดกำลังติดตั้งไม่น้อยกว่า 210 กิโลวัตต์ พร้อมระบบกักเก็บเก็บพลังงานกว่า 45,205,109.91 บาท สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนที่พบเห็นเป็นอย่างมาก พร้อมหยิบมาเปรียบเทียบกับกรณีที่ พิมรี่พาย เน็ตไอด้อลชื่อดังที่ได้เดินทางไปติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในพื้นที่ดังกล่าว ที่ใช้เงินลงทุนไปเพียงประมาณ 500,000 บาท เท่านั้น ทั้งนี้ กอ.รมน. ยังไม่ได้ออกมายืนยัน หรือแสดงความเห็นเกี่ยวกับเอกสารดังกล่าว

ศรีสุวรรณ แถลงเข้าพบ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติ ปม พิมรี่พาย

ศรีสุวรรณ เข้าพบ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อพูดถึงบ้านแม่เกิบ อ.อมก๋อย หลังจากที่ พิมรี่พาย ได้เดินทางเข้าไปบริจาคสิ่งของในพื้นที่ดังกล่าว ศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะลดโลกร้อน ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กเปิดเผยว่า ตนได้เข้าพบกับ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯกรณีบ้านแม่เกิบ อ.อมก๋อย เพื่อหารือเกี่ยวกับ บ้านแม่เกิบ หลังจากที่ พิมรี่พาย เน็ตไอด้อลชื่อดังที่เข้าไปบริจาคสิ่งของ จนกลายเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง

โดยนายศรีสุวรรณกล่าวว่า ” ตามที่มีผู้ใจบุญนามพิมรีพายควักเงินส่วนตัวกว่าครึ่งล้านไปจัดกิจกรรมเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับเด็กๆชนเผ่ากะเหรี่ยงโดยการติดตั้งโซล่าเชลล์เพิ่มแสวงสว่างให้พร้อมกับกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ ณ หมู่บ้านแม่เกิบ ต.นาเกียน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ จนกลายเป็นท็อคออฟเดอะทาวน์อยู่ในขณะนี้นั้น

แต่เนื่องจากหลายคนอาจมีข้อสงสัยว่าหมู่บ้านแม่เกิบนั้น เมื่อดูภาพถ่ายดาวเทียมย้อนหลังไปไม่เกิน 7 ปีก่อนหน้านี้พื้นที่ดังกล่าวยังไม่มีบ้านเรือนผู้คนอยู่อาศัย ยังไม่มีโรงเรียนหรือศูนย์การศึกษาใดๆอยู่ทั้งสิ้น นั่นแสดงให้เห็นว่าหมู่บ้านแม่เกิบเพิ่งมีการรวมตัวกันเป็นหมู่บ้านใหม่ขึ้นมานั่นเอง

เมื่อพิจารณาต่อไปก็จะพบว่าพื้นที่บริเวณดังกล่าวอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าป่าอมก๋อย ซึ่งมีพระราชกฤษฎีกาออกมาใช้บังคับตั้งแต่ 19 ส.ค.2526 แล้ว ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่าหมู่บ้านแม่เกิบจึงมิใช่ชุมชนท้องถิ่นดังเดิมแต่อย่าใด หากแต่น่าจะเพิ่งมีการอพยพโยกย้ายมาอยู่บริเวณดังกล่าวในระยะเวลาไม่นานตามหลักฐานภาพถ่ายทางดาวเทียม

แต่เนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2560 ม.70 ในหมวดแนวนโยบายแห่งรัฐ บัญญัติไว้ชัดเจนว่า “รัฐพึงส่งเสริมและให้ความคุ้มครองชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ให้มีสิทธิดํารงชีวิต ในสังคมตามวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตดั้งเดิมตามความสมัครใจได้อย่างสงบสุข ไม่ถูกรบกวน ทั้งนี้ เท่าที่ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ หรือสุขภาพอนามัย” ดังนั้นภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะต้องยุติการปล่อยวางให้มีการอพยพโยกย้ายตั้งถิ่นฐานของชนเผ่าต่างๆได้อีกต่อไป หากแต่จะต้องเร่งรีบในการจัดการกำหนดพื้นที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกินให้กับชาวบ้านเหล่านั้นให้สอดคล้องกับแนวคิด “คนอยู่กับป่า”ให้จงได้ โดยออกพระราชกฤษฎีกากันพื้นที่ดังกล่าวออกมาจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หรือเขตอุทยานแห่งชาติเสีย เพื่อที่จะได้พัฒนา และส่งเสริมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของเขาเหล่านั้นตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องมากังวลว่าถูกเจ้าหน้าที่รัฐตั้งข้อหา “บุกรุกป่า” อีกต่อไป

แนะนำ : รีวิวเครื่องใช้ไฟฟ้า | รีวิวอาหารญี่ปุ่น| รีวิวที่เที่ยว | ดาราเอวี